20 มิถุนายน 2552

การวางแผนงานสอบบัญชี

ความหมายการวางแผนงานสอบบัญชี
การวางแผนงานสอบบัญชีหมายถึง การกำหนดขอบเขตการปฏิบัติงานวิธีการ ลักษณะ และเวลาที่จะใช้ในการตรวจสอบ เพื่อรวบรวมหลักฐานการสอบบัญชีอย่างชีอย่างเพียงพอและเหมาะสมทั้งนี้เพื่อให้บรรลุวัตวัตถุประสงค์การตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
การวางแผนงานสอบบัญชี

วัตถุประสงค์
แผน - ลักษณะของการตรวจสอบ
- ระยะเวลา
- ขอบเขตของการตรวจสอบ
นำไปปฏิบัติ


ลักษณะของการตรวจสอบ - แบ่งเป็นการทดสอบการควบคุม (Interim Audit) และการตรวจสอบเนื้อหาสาระ (Year End Audit) เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานการสอบบัญชี
ระยะเวลา -
จะมีการตรวจสอบ 2 เวลา คือ ก่อนวันที่ 31 ธันวาคมจะเป็นการตรวจระบบการควบคุมภายในว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใดและในการตรวจลักษณะนี้จะสนใจในเรื่องของระบบ (Text of control) และหลังวันที่ 31 ธันวาคม จะเป็นการตรวจสอบเนื้อหาสาระ การตรวจลักษณะนี้จะสนใจในเรื่องของจำนวนเงิน
ขอบเขต - เป็นการเลือกขนาดของตัวอย่างขึ้นมาทดสอบ

ขั้นตอนของการวางแผนงานสอบบัญชี

1. การพิจารณารับงานสอบบัญชี -
การรับงานสอบบัญชีสำหรับลูกค้ารายใหม่ที่ไมเคยมีผู้สอบบัญชีมาก่อนก็จะต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริหาร ประเภทกิจการ ลักษณะของบริการและผลิตภัณฑ์ว่าเป็นอย่างไร และศึกษาข้อมูลทั่วไป ส่วนในกรณีที่เคยมีผู้สอบบัญชีมาก่อนควรสอบถามผู้สอบบัญชีคนเก่าโดยมีหนังสือว่ามีเหตุผลทางจรรณยาบรรณ หรือมารยาทของวิชาชีพประการใดหรือไม่ที่ตนควรนำมาพิจารณาในการรับงาน ถ้ามีเหตุผลผู้สอบบัญชีรายใหม่ต้องชี้แจงความจำเป็นที่จะขอทราบเหตุผลทางจรรณยาบรรณ หรือมารยาทของวิชาชีพเพื่อนำมาพิจารณาในการรับงาน ถ้าผู้สอบรายใหม่ต้องการที่จะตอบรับงานควรส่งหนังสือตอบรับงานสอบบัญชี (Engagement Letter)
2. การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมที่ตรวจสอบ -
มีการทำ Plant Tour การตรวจเยี่ยมโรงงาน ในการเข้าไปตรวจเยี่ยมโรงงานผู้สอบบัญชีควรนำความสงสัยเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพติดตัวไปด้วย ต้องมีการสอบถามพูดคุยกับผู้บริหารในเรื่องของการดำเนินงานที่ผ่านมา โครงการที่จะทำต่อไปในภายหน้า เป็นต้น และอาจจะมีการสอบถามพูดคุยจากพนักงาน ต้องมีการจดบันทึกความเสี่ยง
3.การวิเคราะห์เปรียบเทียบในเบื้องต้น -
ดูงบการเงินในปีที่ผ่านมาวิเคราะห์และเปรียบเทียบผลการดำเนินงานแต่ละปี ดูสภาพคล่องของบริษัท ดูบัญชีสินค้าคงเหลือ ดูยอดลูกหนี้ เป็นต้น
4.การกำหนดระดับความมีสาระสำคัญ -
จะพิจารณาจากขนาดหรือลักษณะของความไม่ถูกต้องของข้อมูลซึ่งมีผลต่อความถูกต้องที่ควรตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปของงบการเงิน หรืออีกนัยหนึ่งคือระดับความไม่ถูกต้องของรายการและข้อมูลที่ผู้สอบบัญชียอมรับได้
ตัวอย่างเช่น ผู้สอบบัญชีกำหนดระดับความสำคัญรายการที่ข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงไว้จำนวนเงิน 500 บาท จากการตรวจสอบบัญชีพบว่ามียอดขายแสดงสูงไป 30 บาท เช่นนี้ผู้สอบถือว่ายอดขายแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอย่างไม่มีสาระสำคัญ แต่หากผู้สอบบัญชีพบว่ายอดขายมียอดสูงไป 600 บาทผู้สอบถือว่ายอดขายแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอย่างมีสาระสำคัญ

1 ความคิดเห็น:

  1. สรุปได้ค่อนข้างดีครับผม

    รูปสมาชิกกลุ่มดูเป็นนักบัญชีดีเน๊อะ...คริคริ

    ตอบลบ